สำหรับเจ้าของรถคงไม่มีปัญหาใดจะน่าปวดหัวมากไปกว่า เช้าวันเร่งรีบแล้วรถสตาร์ทไม่ติดเพราะแบตหมด หรือรถแบตหมดกลางทางก็สร้างความปวดหัวได้เช่นกัน ถึงจุดนี้ถ้าแบตเตอรี่ไม่ได้หมดอายุตามระยะเวลา คุณอาจจะสงสัยว่า เพิ่งเปลี่ยนแบตเตอรี่รถได้ไม่นานแล้วทำไมแบตรถหมดเร็ว? เรารวม 3 เหตุผลหลัก ๆ ที่มักจะทำให้รถแบตหมดเร็วกว่ากำหนด นั่นคือ
รถสตาร์ทไม่ติด สาเหตุมีอะไรบ้าง
รถสตาร์ทไม่ติด
เพราะลืมปิดไฟหน้ารถ
รถสตาร์ตไม่ติดส่วนใหญ่จะเกิดจากลืมปิดไฟหน้ารถ ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์เข้าใจปัญหานี้อย่างดี หลายค่ายจึงติดตั้งสัญญาณเตือนที่จะดังขึ้น เมื่อคุณเปิดประตูคนขับขณะที่ไฟหน้ารถยังเปิดอยู่ เพื่อเตือนให้คนขับอย่าลืมดับไฟหน้ารถก่อนลงจากรถนั่นเอง เช่นเดียวกับลืมปิดไฟในรถทิ้งไว้หลังจากหาสิ่งของ หรือแต่งหน้าเรียบร้อยแล้ว ทางที่ดีควรจะเช็กระบบไฟฟ้าทั้งภายในและภายนอกรถให้เรียบร้อยก่อนไปทำธุระจะดีกว่า
** Tip: หากลืมปิดไฟหน้ารถเป็นเวลานาน ไม่ควรรีบสตาร์ตเครื่องยนต์ทันที ควรปิดไฟแล้วรอให้แบตเตอรี่เก็บประจุไฟฟ้าประมาณ 5-10 นาที แล้วจึงค่อยสตาร์ตรถ ถ้าเครื่องยนต์สตาร์ตไม่ติดภายใน 2-3 ครั้ง ไม่ควรพยายามสตาร์ตรถต่อ และไม่ควรบิดกุญแจค้างในช่วงที่สตาร์ตรถ เพราะอาจทำให้ไดสตาร์ตเสียหายได้
รถสตาร์ทไม่ติด ไฟหน้าปัดขึ้น
เพราะชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทิ้งไว้นาน
หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้แบตเตอรี่รถหมดเร็ว คือการเสียบชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อย่างสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตขณะที่รถยนต์อยู่ในโหมด Switch on (ไม่ได้สตาร์ตรถยนต์ แต่สามารถเปิดแอร์ เครื่องเสียง และชาร์จแบตมือถือได้) อุปกรณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้อาจกินพลังงานแบตเตอรี่ของรถได้ หากเสียบชาร์จทิ้งไว้เป็นเวลานาน
รถสตาร์ทไม่ติด มีเสียงแก๊กๆ
เพราะแบตเตอรี่เสื่อม หรือมอเตอร์สตาร์ทเสีย
โดยปกติแล้วอายุการใช้งานของแบตเตอรีเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1.5-2 ปี แต่กรณีที่แบตเตอรี่หมดเร็วกว่ากำหนด โดยไม่ได้ลืมเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืน หรือชาร์จอุปกรณ์ต่าง ๆ ทิ้งไว้ในรถนานเกินไป อาจเกิดจากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพส่งผลให้รถสตาร์ตไม่ติดนั่นเอง
** Tip: วิธีสังเกตอาการรถแบตเสื่อมคือ ช่วงสตาร์ตรถจะมีเสียงแชะๆ หรือ แก๊กๆ เพราะแบตไม่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าไว้ได้ มีการรั่วไหลของแบตเตอรี่จนหมด รวมถึงจอดรถทิ้งไว้ 6-8 ชั่วโมงขึ้นไปแล้วรถเริ่มสตาร์ตยากก็อาจจะเป็นสัญญาณว่า แบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพเล็กน้อย แต่หากจอดรถทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมงแล้วรถสตาร์ตไม่ติดก็อาจเป็นไปได้ว่าแบตเตอรี่เสื่อมสภาพมากแล้ว
นอกจากนั้น ถ้ารถสตาร์ทไม่ติดแต่แผงหน้าปัดไฟขึ้นตามปกติ เวลาสตาร์ทมีแก๊กๆ ก็อาจจำเป็นต้องเช็กตัวมอเตอร์สตาร์ทด้วย โดยวิธีเช็กให้ลองนำตัวมอเตอร์มาเคาะดูก่อน เพราะอาจจะมีสิ่งสกปรกติดอยู่ในตัวมอเตอร์ แต่ถ้าเกิดจากอาการมอเตอร์สตาร์ทเสื่อมหรือได้รับความเสียหาย ก็ต้องติดต่อศูนย์บริการอย่างเร่งด่วน
รถสตาร์ทไม่ติด แบตไม่หมด
แต่น้ำมันอาจจะหมด
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด เนื่องจากบางคนอาจจะหลงลืมสังเกตสัญลักษณ์น้ำมันหมดหน้ารถ หรือรอให้ขึ้นการแจ้งเตือนเสียก่อนแล้วค่อยหาที่เติมน้ำมัน บางทีปั๊มน้ำมันอาจจะอยู่ไกลเกินกว่าที่คาดคิด ทำให้รถน้ำมันหมดและสตาร์ทไม่ติดนั่นเอง ข้อสำคัญไม่ควรปล่อยให้น้ำมันหมดถังบ่อย ๆ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ ของรถยนต์ได้
รถสตาร์ทไม่ติด ไม่มีเสียงอะไรเลย
เพราะระบบไฟฟ้าทำงานผิดปกติ
บางครั้งอาการรถสตาร์ทไม่ติดก็มักจะเกิดจากความผิดปกติของสายไฟ หรือระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในรถ หากกดปุ่มสตาร์ทหรือไขกุญแจรถแล้วไฟสัญลักษณ์ต่าง ๆ บริเวณแผงหน้าปัดไม่แสดง อาจเป็นไปได้ว่า รถของคุณโดนหนูหรือสัตว์กัดสายไฟขาด หรือลืมปิดไฟในรถทิ้งไว้นาน ๆ จนทำให้แบตเตอรี่หมดก็เป็นได้
รถสตาร์ทไม่ติด เงียบ
เพราะปั๊มติ๊กเสีย
ปั๊มติ๊กเสียหรือเสื่อมสภาพก็เป็นสาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดได้เช่นเดียวกัน เพราะเครื่องยนต์ไม่สามารถจุดระเบิดได้ โดยสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ปั๊มติ๊กเสื่อมสภาพมักจะเกิดจากการปล่อยให้ไฟสัญลักษณ์แจ้งเตือนน้ำมันอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากระดับน้ำมันเหลือน้อยจนเกินไป ส่งผลให้ปั๊มติ๊กไม่สามารถดูดน้ำมันและดูดเอาอากาศเข้ามาแทน ทำให้ปั๊มติ๊กเสื่อมสภาพและรถสตาร์ทไม่ติดนั่นเอง
รถสตาร์ทไม่ติด ดับขณะขับขี่
เพราะไดชาร์จได้รับความเสียหาย
ถ้ารถยังสตาร์ทได้แต่ขับไปสักพักก็ดับกลางอากาศ โดยที่แบตเตอรี่ยังปกติดี ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ตัวไดชาร์จอาจจะมีปัญหา โดยวิธีตรวจดูได้ว่า ปัญหารถสตาร์ทไม่ติดเป็นเพราะไดชาร์จจริงหรือไม่ ให้ลองสตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก จากนั้นให้ถอดขั้วแบตเตอรี่ออกข้างหนึ่ง หากรถมีอาการกระตุก ไฟตก หรือรถดับ ก็เป็นไปได้สูงว่า ไดชาร์จรถยนต์เสื่อมสภาพ และควรนำรถไปตรวจสอบที่ศูนย์บริการเพื่อแก้ไขต่อไป
วิธีพ่วงแบตรถยนต์ที่ถูกต้อง
แบตเตอรี่เปรียบเสมือนแหล่งพลังงานของมอเตอร์สตาร์ต ซึ่งต้องใช้กระแสไฟฟ้าค่อนข้างสูงในการทำงาน เมื่อแบตเตอรี่ไม่สามารถจ่ายไฟให้กับมอเตอร์สตาร์ตได้เพียงพอก็จะไม่สามารถสตาร์ตรถได้ คุณจำเป็นต้องจั๊มสตาร์ตกับรถคันอื่น เพื่อจ่ายประจุไฟฟ้าเพิ่มเติมให้มอเตอร์สตาร์ต ดังนั้น ควรเก็บสายพ่วงไว้ในรถเสมอหากรถเกิดสตาร์ตไม่ติดก็จะมีอุปกรณ์ช่วยในการสตาร์ตรถยนต์ก่อนถึงมือช่าง เพียงปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
วิธีพ่วงแบตรถยนต์
- ควรตรวจสอบสภาพแวดล้อมก่อนทำการจัมสตาร์ต ควรอยู่ห่างจากวัตถุไวไฟ
- ปิดเครื่องยนต์ และเปิดฝากระโปรงรถทั้งสองคัน
- มองหาสัญลักษณ์ขั้วบวก (+) และขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่รถทั้งสองคัน
- ใช้สายจั๊มแบตสีแดงต่อเข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่คันที่หมดก่อน จากนั้นค่อยนำสายพ่วงสีแดงอีกด้านไปต่อกับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่รถคันที่มีไฟ
- ใช้สายจั๊มแบตสีดำต่อเข้ากับขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่รถคันที่มีไฟ แล้วค่อยนำสายพ่วงสีดำอีกข้างต่อเข้ากับจุดกราวด์ของรถคันที่แบตหมด
- สตาร์ตรถคันที่มีแบตเตอรี่ก่อน แล้วปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานเป็นเวลา 2-3 นาที จากนั้นสตาร์ตรถคันที่แบตหมด
- ปล่อยให้เครื่องยนต์ของรถคันที่แบตหมดทำงานเป็นเวลาประมาณ 10 นาที แล้วค่อยถอดสายจั๊มแบตออกจากรถทั้งสองคัน เริ่มจากถอดสายพ่วงแบตเตอรี่ขั้วลบ (-) จากคันที่แบตหมดก่อน แล้วจึงค่อยถอดขั้วลบ (-) และขั้วบวก (+) ของรถที่มีไฟ ตามด้วยขั้วบวก (+) ของรถที่แบตหมด
- หากรถสตาร์ตติดแล้ว ให้ปิดฝากระโปรงรถทั้งสองคันให้เรียบร้อย
- อย่าเพิ่งดับรถคันที่แบตหมดอย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้ไดชาร์จสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เพียงพอต่อการใช้งาน
- รีบขับรถไปยังศูนย์บริการ ร้านขายแบตเตอรี่ หรืออู่ซ่อมรถที่อยู่ใกล้คุณ เพื่อเช็กความผิดปกติของแบตเตอรี่ว่าเกิดจากสาเหตุใด